วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

ดินเผาบ้านป่าตาล

ดินเผาบ้านป่าตาล
ดินเผาบ้านป่าตาล บ้านป่า ตาล เป็นหมู่บ้านหมู่ที่ 4 ต.สันผักหวาน อำเภอหางดง จ.เชียงใหม่ ที่อาชีพส่วนหนึงของชุมชนคือการทำกิจการตุ๊กตาดินเผา และเครื่องปั้นดินเผาซึ่งเป็นลักษณะ ปั้นด้วยมือ ล้วนๆปราศจากการใช้แม่พิมพ์งานเป็นงานปั้นดินเหนียวเผาให้แดงเป็นสีธรรมชาติ ของดินซึ่งเป็นงานที่เรียกว่า Terra-Cotta เหมาะสำหรับการตกแต่งสวนและแต่งบ้านหรือนำไปเป็นของที่ระลึกในโอกาศต่างๆที่ เน้นความเป็นธรรมชาติ
     โดยความแตกต่างของหมู่บ้านป่าตาลกับหมู่บ้านอื่นๆซึ่งทำเครื่องปั้นดินเผาก็ คือบ้านป่าตาลจะไม่เน้นการผลิตเครื่องปั้นดินเผาในลักษณะแจกันหรือภาชนะแต่ จะเน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะในส่วนของตุ๊กตาดินเผาในลักษณะงานประติมากรรมแบบ ลอยตัวเท่านั้น

     โดยอาชีพการปั้นตุ๊กตาดินเผาของชาวบ้านป่าตาลได้ยึดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวคือทำแบบพอเพียงใช้ทรัพยากรในชุมชนมาก่อให้เกิดราย เพื่อให้พอเลี้ยงครอบครัวไม่มุ่งหวังผลกำไรเป็นที่ตั้ง

ตัวอย่างสินค้า

     ตุ๊กตาเด็กไทย และ ตุ๊กตาสัตว์นานาชนิด




     ครื่องปั้นดินเผา แต่งภายในบ้านที่นำเอาใบไม้จริงจากธรรมชาติหลากหลายพันธ์มาตกแต่งให้กับงาน ทำให้สวยงามและทรงคุณค่าเป็นอย่างมาก

     โคมไฟตั้งโต๊ะติดลายใบไม้จริงตัวโคมผ้าสองชั้นเนื้อดีแต่จำหน่ายในราคาต้นทุน


     ตุ๊กตาดินเผาเชิงเทียนหอม(Aromatic Candle) ตุ๊กตาดินเผาของบ้านป่าตาลงานปัดทองกับเทียนหอมหลายกลิ่นหลายแบบ ตุ๊กตา
     งานปั้นดินเผาในรูปแบบของเก่าของโบราณ ปั้นมือล้วนๆไม่มีการใช้แม่พิมพ์ มีคุณค่าแต่ราคาไม่แพง

     งานเครื่องเคลือบดินเผา เป็นงานเซรามิกแฮนแมดบีบขึ้นรูปด้วยมือล้วนๆปราศจากการใช้แม่พิมพ์หรือแม้ กระทั่งเครื่องหมุนและผ่านการเคลือบเผาด้วยอุณหภูมิสูงกว่า1200 องศาเซลเซียส งานแต่ละชิ้น ผ่านการชุบน้ำเคลือบและเผาซ้ำไม่ต่ำกว่า 3 รอบด้วยอุณหภูมิและสูตรเคลือบที่ต่างกันออกไปจึงทำให้ได้เซรามิกที่มีความ แกร่งสูงและมีสีสันลวดลายสวยงามตามธรรมชาติมิได้มีการทาสีเหมือนงานเซรามิก ท้องตลาดทั่วๆไป ซึ่งงานจะมีเอกลักษณ์ของลวดลายและสีสันที่ต่างกัน มีชิ้นเดียวในโลกเท่านั้น

และยังมีสินค้าอื่นๆอีกมากมายค่ะ ขอสนับสนุนการซื้อสินค้าไทยค่ะ

ติดต่อ
ประติมากรรมดินเผาบ้านป่าตาล
175 ม.4 ต.สันผักหวาน อ.หางดง เชียงใหม่ 50230



แผนที่






ไชยกวัฒน์ เบญจรงค์

ไชยกวัฒน์ เบญจรงค์
ไชยกวัฒน์ เบญจรงค์ ไชยกวัฒน์ เบญจรงค์ ดำเนินธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์เบญจรงค์ซึ่งมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ภายใต้่ ลวดลายอันงดงามอ่อนช้อยและเอกลักษณ์ของความเป็นไทย เครื่องเบญจรงค์ไทยที่มีลวดลายอันงดงามได้รับการถ่ายทอดผ่านช่างฝีมือซึ่งมี ความชำนาญและประสบการณ์อันยาวนานสู่ผู้ใช้ซึ่งนิยมความหรูหรา และละเมียดละไมในการใช้ชีวิต ผลิตภัณฑ์มากมายที่ผลิตออกมาจากไชยกวัฒน์เบญจรงค์ล้วนแล้วแต่เน้นคุณภาพและ ความคุ้มค่าในแง่ของการใช้งาน

      ไชยกวัฒน์ เบญจรงค์ ดำเนินงานโดย คุณไชยกวัฒน์ วรวงษ์ ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการเครื่องเบญจรงค์ไทยมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งปัจจุบัน ไชยกวัฒน์ ได้รับเครื่องหมายการค้า Thailand Brand ซึ่งผลิตสินค้าเบญจรงค์ส่งออกไปขายหลายประเทศ สร้างชื่อเสียงให้กับสินค้าไทย ไชยกวัฒน์ เบญจรงค์ มีสาขาอยู่หลายที่ ดังนี้



      เครื่องเบญจรงค์เป็นเครื่องถ้วยที่มีการลงสีที่พื้นและลวดลายเป็นเครื่อง ปั้นดินเผาประเภท เซรามิคส์ (Ceramics) ใช้เนื้อดินประเภทพอร์ซเลน (Porcelain ware) โดยเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่เขียนลายด้วยวิธีลงยา หรือสีผสมเคลือบ (Enamel) เป็นงานที่มีต้นกำเนิดในประเทศจีน ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 ในรัชสมัยพระเจ้าซวนเต๊อะ (พ.ศ.1969-1978) สมัยราชวงศ์หมิง มีการผลิตครั้งแรกในแคว้นกังไซ มณฑลเจียงซี (หรือที่คนไทยเรียกว่า กังไส) และพัฒนาต่อมาจนเป็นที่นิยมอย่างมากในสมัยพระเจ้าเฉิงฮั่ว (พ.ศ.2008-2030) 
     การ เขียนลายตามแบบของจีนจะใช้ตั้งแต่ 3 สีขึ้นไป มีชื่อเรียกในภาษาจีนต่าง ๆ กัน เช่น อู๋ไฉ่ โต้วไฉ่ เฝินไฉ่ และฝาหลั่งไฉ่ ส่วนที่เป็นของไทยนั้นจะนิยมลง 5 สีด้วยกัน คือ ขาว เหลือง ดำ แดง เขียว(คราม) จึงเรียกว่า เครื่องเบญจรงค์ หรือ 5 สี โดยทั้ง 5 สีนี้จัดได้ว่าเป็นแม่สีเครื่องถ้วยเบญจรงค์ของไทย และในบางครั้งอาจมีการใช้สีมากกว่า 5 สีด้วย เช่น ชมพู ม่วง แสด และน้ำตาล ในอดีตใช้การสั่งทำที่ประเทศจีนตามความคิดและลวดลายของไทย

     การสั่งทำนั้นจะมีช่างของไทยเดินไปควบคุมการผลิตเพื่อให้ได้รูปลักษณะที่ เป็นแบบไทย เริ่มตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ยุคที่ 3 ช่วงประมาณรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2173-2198) และสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199-2231) ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์หมิงตอนปลาย โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าวั่นลี และต่อเนื่องจนถึงสมัยราชวงศ์ชิง

     การสั่งทำจากประเทศจีนในสมัยนั้นได้สั่งทำเป็นโถปริก และโถฝาขนาดกลาง เขียนเป็นลายกนก ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายเทพนม ลายนรสิงห์ และยังมีที่เป็นลวดลายของจีน เช่น ลายเทพนมจีน (เทวดาท้องพลุ้ย) มีพื้นสีต่างๆ เช่น เหลือง ชมพู ม่วงอ่อน เครื่องถ้วยเบญจรงค์ของไทยมีทั้งสั่งทำที่เมืองจิงเต๋อเจิ้น และจากเตาเผาที่มณฑลฝูเจี้ยนและกวางตุ้น เครื่องเบญจรงค์ที่สั่งทำจากเมืองจิงเต๋อเจิ้น มักเป็นของใช้ในราชสำนักเพราะเนื้อดินปั้นละเอียด แกร่ง และช่างมีฝีมือดี เขียนลายได้ละเอียดสวยงาม


     เครื่องถ้วยเบญจรงค์ยังคงเป็นที่นิยมต่อเนื่องในประเทศไทย มาจนถึงสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเริ่มลดความนิยมลง แต่จะนิยมใช้ในเครื่องลายครามมากกว่า และยังมีการเขียนลายน้ำทองทับไปบนลายครามด้วย

     ต่อมาในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการสั่งให้ทำเครื่องถ้วยเขียนเป็นลายอักษรพระนาม จ.ป.ร. ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2431 หลังจากนั้นความนิยมในเครื่องถ้วยลายน้ำทองได้ลดลง

     ในระยะต่อมาได้มีการสั่งทำชุดชาจากยุโรปในลักษณะรูปทรงแบบจีน เรียกเครื่องถ้วยจักรี เพื่อใช้เป็นที่ระลึกในงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ

     ลักษณะงานด้านเครื่องถ้วยเบญจรงค์นี้ ไม่เพียงแต่มีความสนใจเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ในประเทศญี่ปุ่นสมัยช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ มีความสนใจในเครื่องถ้วยประเภทนี้เป็นอย่างมาก จนถึงขั้นมีการผลิตส่งมาขายในประเทศไทยในภายหลัง แต่ไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก คงมีการผลิตมาจำหน่ายเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งนักสะสมจะเรียกว่าเครื่องถ้วยเบญจรงค์ญี่ปุ่น

     เครื่องเบญจรงค์จะนิยมเขียนบนภาชนะที่มีฝา จาน โถ จานเชิง กาน้ำ ชุดตั้งโต๊ะ ตั้งแต่ภาชนะที่มีขนาดเล็กและใหญ่ลดหลั่นกันไป โดยเฉพาะโถที่มีรูปทรงต่างๆ กัน เช่น ทรงตรง ทรงโกศ ทรงมะเฟือง โถปริก โถพลู ส่วนฝาจะมีหลายรูปทรงเช่นกัน อาทิเช่น ฝาโถทรงมัณฑ์ยอดลูกแก้วกลม รูปสัตว์ เป็นต้น และจากความสวยงามของเครื่องถ้วยเบญจรงค์ จึงมักมีผู้นำมาใช้รองบายศรีในพิธีบูชาเทวดา ซึ่งเรียกว่า บายศรีปากชาม ตามคติความเชื่อของคนไทยผสมผสานกับลวดลายที่ประดับบนตัวชาม คือ การใช้ลายเทพนม



     การทำเครื่องเบญจรงค์ จึงเป็นการตกแต่งผลิตภัณฑ์ที่เคลือบแล้ว (ของขาว) มาตกแต่งให้สวยงาม เผาในอุณหภูมิที่ไม่สูงมากนัก มีสีสันสดใส ลวดลายที่ใช้เขียนบนภาชนะที่เป็นลายน้ำทองมีมากมาย ส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากลายไทย เช่น ลายข้าวพุ่มบิณฑ์ ลายก้านขด หรือเป็นลายของธรรมชาติ เช่น ลายกุหลาบ ลายดอกไม้ ลายกลีบบัว ส่วนที่เป็นลายจีน เช่น ลายดอกไม้สี่ฤดู ลายผีเสื้อ ค้างคาว แมลงปอ ดอกไม้ ดอกพุดตาน สิงโต ฯลฯ

    ส่วนสีที่ใช้ในการทำเครื่องเบญจรงค์ในปัจจุบัน มีการใช้สีตั้งแต่ 3 สีขึ้นไป จนถึงประมาณ 30 สี และรูปแบบได้มีการพัฒนาตามความต้องการของตลาดให้มากยิ่งขึ้น แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของงานเครื่องเบญจรงค์ไทยอยู่เสมอ

สถานที่จำหน่าย


กลุ่มเครื่องเบญจรงค์
17/1 หมู่ 8 บ้านคลองตากแดด ถนนเศรษฐกิจ ตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร 74110
ติดต่อ : คุณไชยกวัฒน์ วรวงษ์
โทร : 034 848637, 081 907 1998
 

ข้าวหลามหนองมน

ข้าวหลามหนองมน
ข้าวหลามหนองมน ข้าวหลาม หนองมน เป็นอาหารลือชื่อของจังหวัดชลบุรี ซึ่งข้าวหลามหนองมนนี้มีประวัติที่เล่าต่อกันมาว่า สมัยก่อน บ้านหนองมน จะมีอาชีพทำนาปลูกข้าว พอหลังหมดหน้านาชาวบ้านก็จะทำขนมฉลองกินกัน พอมีงานแสดงงิ้วที่ศาลเจ้าชาวบ้านต่างก็มารวมตัวกันจนเกิดการซื้อขายขึ้น

    ข้าวหลามหนองมนเริ่มมามีชื่อเสียงก็ตอนที่มีการตัดถนนสุขุมวิท เพื่อผ่านตลาดให้คนกรุงเทพได้ไปเที่ยวบางแสน คนที่ผ่านไปมาก็ซื้อติดไม้ติดมือกลับกรุงเทพ จนกระทั่งยุคสมัยของจอมพลสฤษฎ์ ที่มาพักตากอากาศที่บางแสนพร้อมกับนายพลเนวินของพม่าในยุคนั้นได้มีการเกณฑ์ ชาวบ้านไปเผาข้าวหลามโชว์ จึงมีการลงหนังสือพิมพ์ และมีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน

    ข้าวหลามหนองมน มีรสหวานมัน ข้าวเหนียวนุ่มชุ่มด้วยกะทิ มีให้เลือกทั้งข้าวเหนียวดำ ใส่ถั่วแดง เผือก ข้าวโพด เนื้อมะพร้าว เมื่อเปิดฝากระบอกดูจะเห็นเนื้อข้าวเหนียวด้านบนฉ่ำเยิ้มไปด้วยกะทิ มีจำหน่ายที่ตลาดหนองมน มีสามขนาด คือ ขนาดเล็กกระบอกละ 20 บาท ขนาดกลางกระบอกละ 25 บาท ขนาดใหญ่ 3-4 กระบอก 100 บาท
    วิธีเลือกซื้อ ควรเลือกข้าวหลามที่เผาสุกใหม่ๆ จะยังอุ่นอยู่ และมีกลิ่นหอมของกะทิ ถ้ามีกลิ่นออกเปรี้ยวไม่ควรซื้อเพราะใกล้บูด อีกทั้งควรลองชิมว่าถูกใจในรสชาติหรือเปล่า



 

แก้วโป่งข่าม ของดีเมืองลำปาง

แก้วโป่งข่าม ของดีเมืองลำปาง
แก้วโป่งข่าม ของดีเมืองลำปาง "แก้วโป่งข่าม" เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ เชื่อว่าหลายท่านรู้จักเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อย ที่เพียงแต่เคยได้ยินชื่ออย่างผิวเผิน ทั้ง ๆ ที่ แก้วโป่งข่ามมีชื่อเสียงมานานหลายสิบปีในยุคร่วมสมัย และนานหลายร้อยปีในยุคอดีตกาล เพียงแต่ชื่อเสียงเหล่านั้น คงอยู่ในวงแคบ ๆ โดยเฉพาะทางเขตภาคเหนือ ซึ่งได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นตำนานแห่งความศักดิ์สิทธิ์ชาวลานนา

     การเล่าขานถึงปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ ยังคงสืบเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในยุคสมัยแห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คนเราหันไปสนใจเฉพาะสิ่งที่ตามองเห็น และเชื่อในสิ่งที่ตนสัมผัสได้เท่านั้น โดยละทิ้งธรรมชาติอันเป็นแหล่งที่มาของตน ไม่รับรู้ถึงพลังของธรรมชาติที่ยังคงอยู่รอบ ๆ ตัวเรา

     ในอดีตนับพันปี มีความเชื่อสืบเนื่องกันมาว่า ดวงดาวต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อมนุษย์นับตั้งแต่เกิดมา และจะส่งผลต่อคนผู้นั้นไปตลอดอายุขัย ทั้ง ๆ ที่ดวงดาวเหล่านั้น อยู่ห่างไกลจากตัวเรานับหลายร้อยหลายพันปีแสง ดวงจันทร์ก็มีอิทธิพลต่อโลก (และคน) เช่นกัน จนนักวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ต่างก็ตั้งสมมุติฐานกันขึ้นมาต่าง ๆ นานาว่า หากวันหนึ่งไม่มีพระจันทร์ โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร?

     "แก้วโป่งข่าม" ก็เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นมาจากธรรมชาติ และอยู่ใกล้กับตัวเราจนสัมผัสได้ ย่อมที่จะต้องมีอิทธิพลส่งผลต่อผู้ถือครองเช่นกัน
     ความเชื่อในเรื่องแก้วศักดิ์สิทธิ์ของชาวลานนามีมานับนับร้อยนับพันปี ดังหลักฐานการขุดค้นพบแก้วจากกรุโบราณตามสถานที่ต่าง ๆ ในเขตทางภาคเหนือ เช่นองค์พระมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งค้นพบในกรุเจดีย์ที่จังหวัดเชียงราย อีกองค์หนึ่งคือ "องค์พระแก้วดอนเต้า" (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง) รวมไปถึงพระแก้วขาวหริภุญชัย หรือรู้จักกันดีในชื่อ "พระเสตังคมณี" ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ ซึงมีอายุเก่าแก่ถึง 1800 ปี


     แก้วโป่งข่าม เป็นอัญมณีของไทย เป็นทรัพย์ในดินที่ดูเสมือนกับว่าถูกละลืมไปอย่างน่าเสียดาย ทั้ง ๆ ที่คุณค่าของแก้วโป่งข่าม นอกจากความสวยงามภายนอกแล้ว ยังมีคุณค่าทางวัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ และตำนานความเชื่อต่าง ๆ เป็นมรดกตกทอดให้คนรุ่นหลังได้สืบสาน มากกว่าการเป็นเพียงแค่เครื่องประดับอัญมณีที่สวมใส่กันอย่างฉาบฉวยตาม แฟชั่นเท่านั้น
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ 

     แก้วขนเหล็ก เป็นแก้วโป่งข่ามอีกชนิดหนึ่งที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะแก้วขนเหล็กแบบน้ำใส ซึ่งมีราคาสูงและพบได้ยากกว่าแก้วขนเหล็กน้ำตัน แก้วขนเหล็กเป็นแก้วโป่งข่ามที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เพราะมีการนำเอาไปสร้างเป็นภาพยนต์ถึงสองครั้ง กล่าวกันว่า หากเอ่ยถึงแก้วโป่งข่ามแล้ว คนจะรู้จักแก้วขนเหล็กเป็นอันดับแรก

     แก้วปวก คำว่า "ปวก" เป็นภาษาเหนือโบราณ แปลว่า ต่อมน้ำหรือฟองน้ำ (ไม่ใช่ "ปลวก" ดั่งที่คนทางภาคกลางเข้าใจกัน เมื่อได้ยินครั้งแรก) คำว่า "ปวก" แสดงถึงสิ่งที่มีลักษณะฟูขึ้นมา เหมือนต้นไม้, ใบหญ้า, ตะใคร่น้ำ, ประการังหรือสาหร่าย จะเรียกรวมกันว่าปวก แก้วปวกแต่ละชนิดจะมีชื่อตามสี เช่นปวกเขียว, ปวกแดง, ปวกทอง, ปวกเงิน, ปวกชมพู, ปวกครั่ง แก้วที่มีปวกลอยอยู่กลางเม็ดแก้ว เรียกว่า "ปวกลอย" ส่วนที่ปวกราบกับก้นแก้วเรียกว่า "ปวกทราย" หรือ "ปวกตา"

     คุณสมบัติของแก้วปวกนั้น ถือกันว่าให้คุณในด้านเมตตามหานิยม เหมาะสำหรับผู้ที่ทำการค้าขาย ผู้ที่ต้องติดต่อกับบุคคลอื่น ๆ รวมทั้งทำให้อยู่เย็นเป็นสุข คลาดแคล้วและความสำเร็จในหน้าที่การงาน

     แก้วเข้าแก้ว จัดเป็นแก้วที่เรียกได้ว่าแปลกประหลาด มีค่าสูงและหาได้ยาก เมื่อยังไม่ได้ทำการเจียรไน โดยยังเป็นหน่อแก้วอยู่นั้น จะมองเห็นหน่อแก้วลิ่มเล็ก ๆ อาจจะลิ่มเดียวหรือเป็นกลุ่ม งอกขึ้นอยู่ภายในหน่อแก้วใหญ่ โดยแทงทะลุจากภายนอกด้านใดด้านหนึ่งเข้าไปภายใน หรืออาจจะเป็นหน่อแก้วซ่อนอยู่ภายในหน่อแก้วใหญ่ ซึ่งแก้วเข้าแก้วชนิดนี้หาได้ยากมาก และมีราคาสูง




ยังมีอีกมากมายให้ได้เลือกชมกันค่ะ อุดหนุนสินค้าไทยพาเศรษฐิกิจไทยให้ก้าวหน้านะคะ

ติดต่อ

เลขที่ 55 หมู่ที่ 5 (บ้านนาบ้านไร่)
ตำบลแม่ถอด อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง 52160
โทร: 054-214170, 089-8559029, 084-8074601, 087-1904079



กะปินาทับ

กะปินาทับ
กะปินาทับ

กะปิ นาทับสุดยอดฝีมือการผลิตแม่บ้าน ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา "ความอร่อยของกะปินาทับแท้ก็ คือจะหอม รสชาติอร่อย เพราะหมักเก็บไว้นาน ถ้ายิ่งนานก็ยิ่งหอม ที่สำคัญคือเราทำโดยไม่มีสารเจือปน ไม่มีการใส่สี คือจะทำจากกุ้งเคยทะเล ซึ่งจะปลอดสารพิษทั้งหมด เพื่อการปรุงรส ทำจากเคยแท้ด้วยกรรมวิธีการหมักแบบโบราณ ผ่านเวลาข้ามปี   

    สำหรับการทำกะปิที่ผลิตขึ้นมาจากกุ้งเคย ซึ่งมีเป็นจำนวนมากบริเวณปากน้ำคลองนาทับก่อนออกสู่ทะเล โดยชุมชนแห่งนี้ผลิตกะปิจากกุ้งเคยแท้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าที่ซื้อไปบริโภคนั้นมีแหล่งผลิตจากที่แห่ง นี้
ติดต่อ
เลขที่ 20/4 หมู่ที่ 3 หมู่บ้านท่ายาง ตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา โทรศัพท์ 074-476255

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

กระเจี๊ยบเขียวอำเภอดอนตูม

กระเจี๊ยบเขียวอำเภอดอนตูม
กระเจี๊ยบเขียวอำเภอดอนตูม
กระเจี๊ยบเขียวเป็นผักส่งออกที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งต่างประเทศนิยมบริโภคแพร่หลาย ตลาดสำคัญคือ ประเทศญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นนิยมบริโภคกระเจี๊ยบเขียวมาก เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารและมีคุณค่าทางสมุนไพร รักษาโรค สำหรับคนไทยบริโภคกระเจี๊ยบเขียวมานานแล้ว เพราะเป็นผักพื้นบ้านของเราซึ่งปลูกง่าย ปลูกได้ตลอดปีและมีราคาไม่สูง

    เราใช้ฝักอ่อนของกระเจี๊ยบเขียวเป็นอาหาร คือขนาดฝักยาว 4-9 ซม. ซึ่งเป็นขนาดที่เก็บเกี่ยวมาบริโภคแล้วจะมีคุณภาพดี อ่อน ไม่มีเส้นใย ฝักกระเจี๊ยบเขียวที่เก็บมาแล้ว ควรนำมาบริโภคทันทีสามารถนำมาประกอบอาหารได้ ตั้งแต่รับประทานเป็นผักจิ้ม ชุบแป้งทอด ยำต่าง ๆ ประกอบอาหารอื่น ๆ เช่น แกงเลียง แกงจืด และฝักกระเจี๊ยบเขียวตากแห้งสามารถทำชา ซึ่งมีกลิ่นหอมได้อย่างดี


    กระเจี๊ยบเขียวเป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหาร โดยเฉพาะวิตามินซี และแคลเซียมสูง เมื่อเทียบกับผักชนิดอื่น นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารจำพวกกัม (gum) และเพคติน (pectin) ในปริมาณสูงทำให้อาหารที่ประกอบขึ้นจากฝักกระเจี๊ยบมีลักษณะเป็นเมือก

    ซึ่งช่วยป้องกันอาการหลอดเลือดตีบตัน สามารถรักษาโรคความดันโลหิต บำรุงสมอง ลดอาการโรคกระเพาะอาหารและยังมีสารขับพยาธิตัวจี๊ดได้ ซึ่งปรากฏสรรพคุณในตำราแพทย์แผนโบราณ และการทดลองแพทย์แผนใหม่ทั้งในและต่างประเทศ เมล็ดกระเจี๊ยบเขียวจัดเป็นแหล่งที่ให้น้ำมันไม่น้อยกว่า 14 เปอร์เซนต์ แล้วยังมีศักยภาพสามารถที่จะนำมาใช้เป็นแหล่งให้โปรตีนโดยมีปริมาณโปรตีนไม่น้อยกว่า 20 เปอร์เซนต์

ติดต่อ

กลุ่มผู้ปลูกกระเจี๊ยบเขียวอำเภอดอนตูม
105 หมู่ 1 บ้านแหลมกระเจา ต.ลำลูกบัว อ.ดอนตูม จ.นครปฐม 13750
ติดต่อ : นางประเทือง ถาวรวงษ์
โทร : 034 371269
โทรสาร : 034 371377
e-mail : cdnakonpathom@thaimail.com