สิ่ง สำคัญสำหรับใช้ในพิธีหรืองานมงคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่ง งานไหว้ครู งานแสดงความยินดี หรือแม้กระทั่งพานพุ่มที่ตั้งอยู่บนหิ้งพระ สิ่งที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือ บายศรีจากกระทง
และถ้าจะย้อนถามถึงที่มาและความสำคัญของบายศรี ก็อาจกล่าวได้ว่า บายศรีกับสังคมความเชื่อของคนไทยนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมานานจนไม่สามารถ แยกจากกันได้ ส่วนในด้านของความหมายนั้น ตามที่ระบุอยู่ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำว่าบายศรีไว้ว่า ข้าวอันเป็นสิริ ขวัญข้าวหรือภาชนะที่จัดตกแต่งให้สวยงามเป็นพิเศษ ด้วยใบตองและดอกไม้สด เพื่อเป็นสำรับใส่อาหารคาวหวานในพิธีสังเวยบูชา

และพิธีทำขวัญต่างๆ ซึ่งสันนิษฐานว่า ศิลปะการทำบายศรีนี้น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิพราหมณ์ ซึ่งเข้ามาทางเขมร เพราะคำว่า “บาย” ในภาษาเขมร แปลว่า ข้าวสุก ภาษาถิ่นอีสาน แปลว่า จับต้อง สัมผัส ส่วนคำว่า “ศรี” มาจากภาษาสันสกฤต ตรงกับ ภาษาบาลีว่า “สิริ” แปลว่า มิ่งขวัญ ดังนั้นคำว่า “บายศรี” จึงแปลได้ว่า ข้าวขวัญ หรือสิ่งที่น่าสัมผัสกับความดีงาม
ด้วยเห็นความสำคัญของบายศรีที่เป็นสิ่งจำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับพิธีมงคล ต่างๆ จึงมีผู้ที่คิดค้นปรับเปลี่ยนวัสดุที่เคยใช้แต่เดิมคือใบตองมาเป็นวัสดุ อย่างอื่น ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความทนทานในการใช้งานให้มากยิ่งขึ้น และโดยเฉพาะเพื่อนำสิ่งที่เหลือใช้ในชุมชนมาทำให้มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งวัสดุที่ว่านั้นก็คือ “ดิน”
คุณนงลักษณ์ ทรัพย์เจริญ ประธานกลุ่มงานศิลป์ดินไทย ผู้สร้างสรรค์บายศรีจากดิน ได้เปิดเผยให้ฟังถึงแนวคิดที่มาของทำบายศรีจากดินเหนียวว่า เดิมทีเธอก็มีอาชีพเป็นแม่บ้านเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เมื่อมีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือ OTOP ซึ่งภาครัฐมีการสนับสนุนให้แต่ละชุมชนสร้างงานจากภูมิปัญญาที่แต่ละชุมชนมี ความถนัด เธอจึงรวมตัวกับคนในชุมชนจำนวนหนึ่ง ตั้งเป็นกลุ่มเพื่อสร้างงานของชุมชนขึ้น
“ตอนนั้นเป็นช่วงประมาณปี พ.ศ. 2546 ภาครัฐเขามีการสนับสนุนให้คนในชุมชนผลิตงานออกมา หรือที่เราเรียกกันว่า โอทอป ดิฉันก็เลยรวมกลุ่มกับเพื่อนแม่บ้านจำนวนหนึ่งตั้งเป็นกลุ่มงานศิลป์ดินไทย ขึ้นมา เพราะตอนนั้นเรามองกันว่า ดินเหนียวที่คนโบราณใช้ปั้นหม้อ ปั้นชาม ปั้นอะไรต่อมิอะไรน่าจะนำมาสร้างเป็นชิ้นงานเพื่อเพิ่มมูลค่าได้ เราก็เลยตั้งธงไว้ว่าจะสร้างงานจากดินเหนียวขึ้น แต่ช่วงเริ่มแรกนั้นก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร”
หลังจากที่มีจุดมุ่งหมายว่าจะสร้างงานจากดินเหนียว แต่ยังไม่รู้จะทำอะไร จากนั้นคุณนงลักษณ์และเพื่อนในกลุ่มจึงลองผิดลองถูกสร้างชิ้นงานออกมา หลายอย่าง แต่เมื่อทำไปซักระยะก็เริ่มรู้ถึงความต้องการของตลาดว่า ผู้บริโภคซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยนั้นเขาต้องการอะไร
“แม้งานที่กลุ่มงานศิลป์ดินไทยสร้างสรรค์ในช่วงแรกๆ จะไม่มีความหลากหลายทั้งทางด้านรูปแบบและชนิดของชิ้นงาน แต่การได้เริ่มต้นทำและการได้ฝึกฝีมือก็เป็นการเพิ่มทักษะ ความประณีต ความละเอียดให้สมาชิกในกลุ่มให้มีมากขึ้น รวมถึงยังทำให้มองเห็นลู่ทางความต้องการของตลาดมากขึ้นด้วย
“กลุ่มเราลองผิดลองถูกอยู่หลายเดือน ซึ่งจากที่เคยทำเพียงดอกไม้ กลุ่มเราก็ได้พัฒนาลองสร้างชิ้นงานในรูปแบบอื่นๆ ขึ้น ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่เราได้พัฒนา ก็คือ ดินปั้นรูปบายศรีที่เขาใช้ในงานมงคลต่างๆ ซึ่งเมื่อทำออกมาปรากฏว่ามันขายดีกว่าดินปั้นรูปดอกไม้ จากนั้นไม่นานเราก็เลยลองส่งประกวดในโครงการ OTOP ปรากฏว่าครั้งแรกเราได้โอทอประดับ 3 ดาว ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตอนนั้นมันยังใหม่อยู่ ฝีมือความประณีตก็คงยังไม่เข้าขั้น
จนกระทั่งในปีต่อมา คือปี 2547 และ 2549 เราก็ได้รับการยอมรับให้เป็นโอทอประดับ 5 ดาว ซึ่งการได้รับการยอมรับตรงนี้เองที่ทำฐานลูกค้าเราขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนเราต้องรับสมาชิกในกลุ่มเพิ่ม ซึ่งปัจจุบันเรามีสมาชิกทั้งหมดกว่า 30 คน ซึ่งในจำนวนนี้ก็มีทั้งคนพิการ ผู้หญิงในชุมชน รวมถึงคนที่ว่างงานในชุมชนก็มาทำกับกลุ่มเราด้วย ส่วนเรื่องรายได้เฉลี่ยก็ตกประมาณเดือนละ 4,000 บาท/คน ซึ่งถ้ามองถึงตรงนี้ก็นับว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยสิ่งที่เราได้ก็คือ คนที่ว่างงานในชุมชนเขามีงานทำ และเหนือกว่านั้นก็คือเขามีรายได้ไปเลี้ยงตัวเองและครอบครัว”
ขั้นตอนวิธีการทำคุณนงลักษณ์ อธิบายให้ฟังว่า งานการทำบายศรีจากดินเหนียวเป็นงานที่ต้องอาศัยความละเอียดและความประณีต ค่อนข้างสูง เริ่มตั้งแต่การหาดินจะต้องเป็นดินเม็ดละเอียด เกาะกันแน่น จากนั้นก็นำดินมานวด เมื่อนวดจนได้ที่จึงนำสีมาผสม ซึ่งขั้นตอนการผสมสีนี้ต้องเอาวัสดุที่จะทำมาเปรียบเทียบเพื่อให้สีของดินมี ความเหมือนจริงมากที่สุด เช่น ถ้าเป็นดินที่จะนำไปปั้นเป็นใบตองเราก็จะเอาสีของใบตองมาเปรียบเทียบ อย่างนี้เป็นต้น จากนั้นก็จะนำไปขึ้นรูปตามแบบที่เราจะปั้น แล้วก็ใช้อุปกรณ์สลักลวดลาย หรือที่เรียกกันว่าการแต่งลายตามที่เราต้องการ จากนั้นก็ปล่อยทิ้งให้แห้งเป็นอันเสร็จ แต่กระบวนการทั้งหมดสมาชิกในกลุ่มเราจะแบ่งหน้าที่กันทำ เช่น แผนกนวดดิน ก็จะนวดดิน แผนกตกแต่งแกะสลักก็จะมีอีกแผนกหนึ่ง ซึ่งเหตุที่แบ่งลักษณะงานออกเช่นนี้ก็เพราะแต่ละคนจะมีความถนัดหรือมีฝีมือ ที่แตกต่างกัน
ปัจจุบันชิ้นงานปั้นบายศรีของกลุ่มงานศิลป์ดินไทย ถือเป็นงานโอทอประดับ 5 ดาวของจังหวัดพิษณุโลก ที่มียอดจำหน่ายอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี ซึ่งราคาที่จำหน่ายแต่ละชิ้นงานก็จะแตกต่างกันออกไปมีตั้งแต่ 40-90,000 บาท/ชิ้นงาน เลยทีเดียว และนี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความสำเร็จของกลุ่มงานประดิษฐ์ระดับ ชุมชน ซึ่งคุณนงลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานที่กลุ่มผลิตนอกจากจะเป็นบายศรีซึ่งมักนำไปใช้ในพิธีมงคลต่างๆ แล้ว ชิ้นงานที่ใช้สำหรับการตกแต่งบ้านทางกลุ่มก็ยังมีการผลิตจำหน่ายด้วยเช่นกัน
สนใจงานศิลป์ผลิตจากดิน ทั้งบายศรีขนาดต่างๆ ชุดเชี่ยนหมา หรือชิ้นงานสำหรับตกแต่งบ้าน ประเภทแจกันหรือโมบาย ลองติดต่อไปได้ที่ “กลุ่มงานศิลป์ดินไทย” โทรศัพท์ 0-5530-3399, 0-5530-3400 หรือที่คุณนงลักษณ์ ทรัพย์เจริญ โทร. 08-1441-7546
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น